ซือจิน

ซ้องกั๋ง ตอน ซือจิน เจ้าหนุ่มด้อยปัญญา (2)

ซือจิน
ซือจิน

ซ้องกั๋ง ตอน ซือจิน เจ้าหนุ่มด้อยปัญญา (2) ทางฝ่ายซ่องโจรบนเขาเซียวฮัวซัว ลิ่วล้อที่แตกหนีจากตำบลซือเกชึง ขึ้นไปแจ้งข่าวว่า ตันตัด นายโจรที่สอง เสียท่า ซือจิน เจ้าหนุ่มหัวหน้าหมู่บ้าน ถูกจับตัวไปแล้ว จูบู๊ นายโจรที่หนึ่งก็ปรึกษากับ เอียชุน นายโจรที่สามว่าจะคิดการอย่างไรจึงจะแก้ไขเอาตันตัดออกมาได้

เอียชุนว่าลงไปสู้รบกับซือจินให้รู้ดีรู้ชั่วไป แต่จูบู๊เกรงว่าซือจินมีฝีมือเข้มแข็ง แม้สองคนก็อาจสู้ไม่ได้ ควรจะคิดหาอุบายล่อลวงให้ปล่อยตัวตันตัดเองจะดีกว่า แล้วก็ชวนกันเดินไปถึงบ้านซือจินเพียงสองคน ชาวบ้านก็ตีม้าล่อเป็นสัญญาณให้มาพร้อมกัน

ซือจินก็ขี่ม้านำหน้าฝูงชนมาดักรออยู่

พอเจอหน้าซือจินนายโจรทั้งสองก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วร้องไห้เล่าว่า

“….เดิมข้าพเจ้าสามคนได้สาบานกันไว้ว่า ถ้าตายเป็นประการใด ก็ต้องตายด้วยกัน ข้าพเจ้านี้พวกขุนนางกดขี่ข่มเหงจนเหลือทนจึงได้หนีมาเป็นโจรอยู่ที่เขานี้ ท่านจะเอาตัวพวกข้าพเจ้ามาคนหนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งสองก็ยอมตาย ซึ่งตัวของข้าพเจ้าทั้งสามนี้ ไม่เหมือน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็จริง แต่ใจคล้ายคลึงกัน ไหน ๆ ท่านจับมาได้คนหนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งสองก็ยอมตายด้วยกัน ท่านจงเอาข้าพเจ้าทั้งสามไปส่งเถิด คงจะได้รางวัลความชอบมาก…..”

ซือจินก็ใจอ่อน นับถือว่าโจรทั้งสามนี้มีความสัตย์ซื่อกตัญญูต่อกัน จึงสั่งให้พรรคพวกกลับไปที่อยู่ แล้วพานายโจรทั้งสองเข้าไปในบ้าน ซือจินจึงกล่าวปราศรัยว่า

“…..เราเกิดมาเป็นชายชาติทหาร ก็รักผู้มีฝีมือและสติปัญญาด้วยกัน ครั้นจะเอาเจ้าทั้งสามไปส่ง ชื่อเสียงของเราก็จะไม่ปรากฎว่า มีฝีมือเข้มแข็ง เห็นแก่เงินทองและความชอบ ซึ่งเจ้าทั้งสามมีความกตัญญูต่อกัน เรามีความเมตตาจะปล่อยตัวให้ไป ตามแต่สติปัญญาเจ้าเถิด……”

แล้วก็ให้ผู้คุมเอาตัวตันตัดออกมา ตันตัดก็คำนับซือจินตามธรรมเนียม ซือจินจึงจัดโต๊ะมาเลี้ยงดูนายโจรทั้งสาม เสร็จแล้วก็ลากลับไปเขาเซียวฮัวซัว เป็นอันสำเร็จตามอุบายของจูบู๊ ที่ได้วางไว้อย่างแนบเนียน

เมื่อนายโจรทั้งสามกลับถึงที่พักแล้ว ก็ปรึกษากันว่า ถ้าไม่คิดกลอุบายอย่างนี้ ที่ไหนตันตัดจะหลุดออกมาได้ ซือจินเป็นคนใจดี ควรจะหาของไปตอบแทนคุณเขาบ้าง แล้วมอบทองคำหนักสามสิบตำลึง ให้คนใช้ลอบนำเอาไปให้ซือจินในเวลากลางคืน คนใช้ก็มาหาซือจิน บอกว่า นายโจรทั้งสามให้เอาทองคำมาตอบแทนคุณท่าน

ซือจินนั้นไม่อยากจะรับของโจร แต่เกรงว่าพวกโจรจะระแวงว่าไม่ซื่อ จึงยอมรับไว้

ต่อมาอีกประมาณยี่สิบวัน นายโจรทั้งสามเที่ยวตีชิงปล้นได้พลอยอย่างดี เม็ดใหญ่ ก็ให้ลิ่วล้อเอามาให้ซือจินอีก ซือจินคิดว่าพวกโจรมีแก่ใจเอาสิ่งของเงินทองมาให้มิได้ขาด จึงเที่ยวซื้อแพรต่วนอย่างดีมาจ้างช่างตัดเป็นเสื้อสามตัว พอเวลาค่ำก็ให้ เฮงสี คนสนิทกับคนใช้นำเสื้อแพรต่วนกับอาหารที่ทำด้วยเนื้อแพะ ไปให้นายโจรบนภูเขา

นายโจรก็รับสิ่งของไว้ด้วยความยินดี ตั้งแต่นั้นมาซือจินกับนายโจรก็รักใคร่สนิทไปมาหาสู่กันอยู่เป็นเวลาเกือบครึ่งปี

พอใกล้จะถึงเดือนแปดขึ้นสิบห้าค่ำเป็นสารทจีน ซือจินก็เขียนหนังสือให้เฮงสีไปเชิญนายโจรทั้งสามมากินเลี้ยงในวันสารทเวลา กลางคืน จะได้ชมเดือนสนทนากันให้เป็นที่สำราญ เฮงสีนำหนังสือไปให้นายโจรแล้ว นายโจรสลักหลังหนังสือตอบว่าถ้าถึงวันสารทแล้วจะมาคำนับทั้งสามคน แล้วให้เงินห้าตำลึงเป็นรางวัลแก่เฮงสี ก่อนจะกลับก็เลี้ยงสุราอาหารอย่างเต็มที่

เฮงสีเดินทางกลับลงจากเขาได้ประมาณสิบลี้ รู้สึกเมาสุราเดินต่อไปไม่ไหว เห็นต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มก็แวะเข้าไปนอนหลับ

ขณะนั้น ลีกิด พรานล่าเนื้อเดินผ่านมาเห็น ก็เข้าไปพยุงเฮงสีจะพามาส่งบ้านแต่อุ้มขึ้นไม่ไหว พอดีเห็นในไถ้ของเฮงสีมีเงินก็สงสัย จึงล้วงออกมาดูโดยเฮงสียังไม่มีสติ พบจดหมายของนายโจรก็เอามาอ่านมีใจความว่า ซือจินเขียนหนังสือเชิญ จูบู๊ ตันตัด และ เอียชุน นายโจรทั้งสามมากินโต๊ะกลางเดือนแปดสารทจีน ก็เกิดความโลภคิดอยากจะได้รางวัลนำจับพวกโจร

จึงเอาเงินห้าตำลึงกับหนังสือตอบของโจร ไปแจ้งความต่อเจ้าเมืองฮัวอิมกุ้ย

ฝ่ายเฮงสีครั้นสร่างเมาตื่นขึ้นมา ไม่พบเงินกับหนังสือ ก็ตกใจนึกว่าทำหล่นหายกลางทาง เที่ยวเดินย้อนไปหาตามหนทางที่ผ่านมาก็ไม่พบ จึงกลับไปโกหกซือจินว่านายโจรรับปากว่าจะมาในวันสารท แต่ไม่ได้ตอบหนังสือนั้น ซือจินก็เตรียมจัดงานไว้ต้อนรับ

พอถึงวันสารทนายโจรทั้งสามพาลิ่วล้อประมาณสามสิบคนมาถึงบ้าน ซือจินก็ออกมาเชิญแขกเข้าไปนั่งบนเหลาสูง ปิดประตูเสียไม่ให้ผู้ใดเห็น แล้วกินเลี้ยงเสพสุรากันจนถึงกลางคืน

ฝ่ายเจ้าเมืองฮัวกิมอุ้ย เมื่อรับแจ้งความจากลีกิดแล้ว ก็จัดไพร่พลและนายทหารอีกสองนาย ให้ลีกิดนำไปล้อมบ้านซือจินไว้ในกลางดึกอย่างแน่นหนา ซือจินกับพวกโจรได้ยินเสียงอื้ออึง แลเห็นไฟสว่างก็ตกใจ

ซือจินจึงห้ามพวกโจรให้เงียบสงบไว้ ตนเองปีนขึ้นไปบนหลังคาตึก เห็นทหารล้อมอยู่รอบบ้านก็ร้องถามนายทหารที่คุมไพร่พลว่า ท่านมาล้อมบ้านไว้ด้วยเหตุผลอันใด นายทหารทั้งสองก็ย้อนว่าอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง ลีกิดเป็นคนไปแจ้งความให้นำทหารมาที่นี่

ซือจินถามลีกิดว่าไปฟ้องเรื่องอะไร ลีกิดก็ว่าเข้าไปในป่าเก็บหนังสือตกอยู่ตามทาง ก็เอาไปให้เจ้าเมือง แล้วเจ้าเมืองก็ให้นำทหารมาล้อมบ้านไว้

ซือจินก็เรียกเฮงสีมาสอบถามเรื่องราว เฮงสีสารภาพว่าเมาแล้วทำหนังสือของนายโจรหายไป จึงโกหกว่าไม่ได้หนังสือตอบมา ซือจินก็โกรธหนักด่าว่าเฮงสีเป็นอันมาก นายโจรทั้งสามก็บอกให้ซือจินชี้แจงให้ทหารถอยออกไปก่อน ซือจินจึงร้องบอกนายทหารทั้งสองว่า

“….นายโจรทั้งสามนี้อยู่ในบ้านข้าพเจ้าแล้ว ท่านจงถอยห่างออกไป อย่าล้อมประชิดไว้เลย ข้าพเจ้าจะจับตัวไปส่งให้….”

นายทหารก็สั่งให้ทหารถอยออกไปคอยท่าอยู่หน้าบ้าน ไม่กล้าบุกรุกเข้าไปเพราะเกรงฝีมือซือจินอยู่เหมือนกัน พอลงมาจากหลังคาแล้ว นายโจรทั้งสามก็บอกกับซือจินว่า เหตุเกิดเพราะเฮงสีทำผิด ถ้าจะให้พ้นตัวจงเอาข้าพเจ้าทั้งสามไปส่งมอบให้เขาเสียเถิด

ซือจินว่าใจเราทำไม่ได้ เราไปด้วยกันดีกว่า แล้วซือจินก็ให้บ่าวไพร่คนสนิท เก็บรวบรวมทรัพย์สินสิ่งของอันมีค่าและจำเป็นไว้พร้อมแล้ว ก็เอาตัวเฮงสีไปฆ่า และให้บ่าวจุดไฟเผาเสียในสวนหลังบ้านนั้น

ทหารเห็นไฟไหม้ข้างหลังบ้านก็พากันไปดูเหตุการณ์ ซือจินกับนายโจรทั้งสามแต่งตัวรัดกุมถือกระบี่นำหน้าบ่าวไพร่ ขนทรัพย์สินออกจากบ้าน ตีหักทหารที่ล้อมบ้านออกมา ทหารทั้งหลายต้านทานฝีมือไม่ไหวก็แตกกระจายไป พอออกจากที่ล้อมได้ก็ไล่ฆ่าลีกิดตาย

นายทหารผู้ควบคุมทั้งสองนายก็ถูกจูบู๊กับตันตัดฆ่าตาย ซือจินกับพรรคพวกก็พากันขึ้นเขาเซียวฮัวซัวไปกับนายโจรทั้งสาม พอถึงที่พักพวกโจรก็จัดที่ให้อยู่และเลี้ยงดูอย่างดี

ซือจินพักอยู่กับพวกโจรได้ประมาณสิบวันก็คิดขึ้นมาว่า

“…..เดิมเราได้ปล่อยตันตัดไป ได้คบเป็นเพื่อนทั้งสามนาย กลับมาเกิดภัยขึ้นจนต้องเผาบ้านเรือนของเราเสียเอง เงินทองทรัพย์สิ่งของที่ดีเก็บมาได้ แต่ของที่จะใช้สอยนั้นไฟก็ไหม้ไปเสียสิ้น ซึ่งตัวเรานี้จะอยู่กับนายโจรไม่ได้ จะพลอยเสียชื่อเสียงว่าเป็นพวกโจรผู้ร้ายไป จะไม่ เสียชื่อเสียงแต่ตัว จะพลอยเสียชื่อถึงบิดาปู่ย่าตายายที่ตายไปนั้น….”

ซือจินจึงบอกกับนายโจรว่า มีครูอยู่คนหนึ่งชื่อ เฮงจิน ไปอยู่กับ เลียดเซียงก๋ง เจ้าเมืองเอียนอันฮู้ เดิมเคยคิดว่าจะไปตามแต่บิดาห้ามไว้ บัดนี้บ้านช่องก็ไม่มีแล้ว จะขอลาไปตามครูคนนี้ นายโจรก็ว่าอย่าไปเลยอยู่ด้วยกันที่นี่ก่อนเถิด ถ้าเรื่องราวทางเมืองฮัวอิมกุ้ย เงียบสงบลงเรียบร้อยแล้ว จะปลูกบ้านให้อยู่ใหม่

ซือจินก็ว่าปรารถนาจะทำราชการไปภายหน้า จะได้มีความสุขบ้าง

นายโจรก็ว่าถ้าอยากจะหาความสุข ก็จะยกให้เป็นใหญ่ในหมู่โจรก๊กนี้ ให้เป็นสิทธิ์ขาดทั้งสิ้น ถ้าเห็นว่าเขาลูกนี้คับแคบผู้คนน้อยก็จะไปหาที่กว้างใหญ่เกลี้ยกล่อมซ่องสุม ไพร่พลให้มากขึ้นอีก ซือจินก็ยังยืนยันว่า

“…..ตัวเรานี้ฝีมือเข้มแข็ง ไม่มีราคีสิ่งใด ซึ่งท่านทั้งสามจะยกให้เป็นใหญ่ ชื่อเสียงก็จะปรากฎไปทั้งแผ่นดินว่า เราเป็นพวกโจร มิเสียชื่อเสียงของบิดาและตัวเราไปหรือ เรายอมไม่ได้จะต้องไปหาครูก่อน….”

ซือจินอยู่กับนายโจรอีกสี่ห้าวัน ก็จัดแจงรวบรวมเงินทองของตัว พร้อมแล้วก็ขอลานายโจร ออกเดินทางไปจากเขาเซียวฮัวซัวตามคำพูด ส่วนบ่าวไพร่ที่ติดตามมาจากบ้านนั้น สมัครใจที่จะอยู่กับพวกโจรทั้งหมด นายโจรทั้งสามตามมาส่งจนพ้นเขตแดนแล้วก็กลับไป

ซือจินเดินทางไปได้สิบห้าวันถึงเมืองอุยจิว คิดจะถามข่าวคราวของเฮงจิน ว่ามาอยู่เมืองนี้บ้างหรือไม่ ก็เข้าไปกินน้ำชาที่โรงน้ำชาริมทาง ได้พบกับชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ เจ้าของโรงน้ำชาแนะนำว่าเป็นขุนนางฝ่ายทหารอยู่บ้าน เกงเลียดฮู้

ซือจินก็คำนับแล้วถามชื่อแซ่ ชายผู้นั้นบอกว่าชื่อ ลูตัด ซือจินก็แนะนำตนเองบ้าง แล้วไต่ถามข่าวคราวของเฮงจิน

ลูตัดบอกว่าได้ข่าวว่าไปอยู่กับ เกงเลียดเซียงก๋ง ที่เมืองเอียนอันฮู้ และเชื้อเชิญให้กินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงปรากฎอยู่แต่เพิ่งรู้จักตัว ซือจินขัดไม่ได้ก็เดินตามจะไปแวะโรงสุรา

พอดีมีคนยืนมุงเป็นหมู่อยู่ข้างถนนเมื่อแวะเข้าไปดู ก็เห็นมีคนขายยาขี้ผึ้งดำ จำได้ว่าชื่อ ลีตง เคยเป็นครูดั้งเดิมเมื่อครั้งก่อนโน้น จึงเข้าไปทักทายปราศรัยถามทุกข์สุข ลีตงจำได้ว่าเคยเป็นศิษย์ก็ยินดีที่ได้พบกัน

ลูตัดเลยเชิญอาจารย์ของซือจินไปกินเลี้ยงด้วยอีกคน ลีตงก็เก็บข้าวของที่วางขายตามกันไปที่โรงสุรา

ลูตัดสั่งจัดโต๊ะสุราอาหารมากินกันได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงใครมาร้องไห้รำพันอยู่ ใกล้ ๆ ลูตัดขัดใจกินเหล้าไม่ลื่นคอจึงขว้างถ้วยสุราออกไป เจ้าของร้านตกใจรีบเข้ามาถามว่าต้องการสิ่งใดจงบอกแต่โดยดี อย่าโกรธขึ้งเลย

ลูตัดก็ว่าพวกเราพากันมาเสพสุราหาความสบายใจ ทำไมจึงมีคนมาร้องไห้พิรี้พิไรอยู่แถวนี้ เจ้าของโรงสุราบอกว่า มีสองคนพ่อลูกอาศัยอยู่ข้างเคียง ไม่ทราบว่ามีเหตุอันใด ลูตัดก็ให้ไปพาสองพ่อลูกนั้นมาหา
เมื่อถามไถ่แล้วทราบว่า บิดาชื่อ กิมโล้ บุตรสาวชื่อ ซุยเหลียน เดิมอยู่ที่เมือง ตังเกีย แต่พากันมาหาญาติพี่น้องที่เมืองอุยจิวนี้ก็ไม่พบ ไม่มีที่อยู่อาศัย บังเอิญพ่อค้าหมูมั่งมีเงินทองชื่อ แต้โต๋ว เห็นเข้าเกิดชอบใจขอเอานางซุยเหลียนไปเป็นภรรยาน้อย ว่าจะให้เงินสามพันตำลึง บิดาก็ยกให้

แต่อยู่กินเป็นสามีภรรยากับแต้โต๋วเป็นเวลาสองเดือนเศษแล้ว เงินสามพันตำลึงนั้นก็ไม่ได้จากแต้โต๋ว ซ้ำภรรยาหลวงกลับเฆี่ยนตีนางซุยเหลียนจนยับเยิน แล้วเอาตัวสองพ่อลูกมาฝากไว้ที่โรงเตี๊ยมติดกันนี้ ให้บังคับเอาเงินสามพันตำลึงไปคืน ถ้าได้เงินแล้วจึงจะปล่อยตัวไป

ลูกสาวเคยหัดร้องเพลง จึงได้ร้องเพลงขอทานชาวบ้าน ได้เงินมาซื้ออาหารกินกันสองคนพ่อลูกก็ยังไม่พอ จะเอาเงินที่ไหนให้ค่าเช่าโรงเตี๊ยม จึงต้องทนอดหิว นั่งร้องไห้ปรับทุกข์กันด้วยเหตุนี้

ลูตัดก็สงสาร แต่มีเงินอยู่เพียงห้าตำลึง จึงขอยืมเงินซือจินอีกสิบตำลึง ให้บิดานางซุยเหลียน เดินทางกลับไปบ้านเสีย ส่วนทางนี้จะจัดการเอง แล้วซือจินก็แยกทางกับลีตงและลูตัด ไปพักที่โรงเตี๊ยมของตน

จนถึงรุ่งเช้าก็ได้ข่าวว่า ลูตัดไปตีแต้โต๋วพ่อค้าหมูถึงแก่ความตาย เจ้าเมืองกำลังตามจับตัวอยู่ ซือจินกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพรรคพวกกัน จึงหนีออกจากเมืองอุยจิว เดินทางไปจนถึงเมืองเอียนอันฮู้ ก็ไม่พบเฮงจินอาจารย์ฝึกอาวุธ จึงกลับมาอยู่ที่เมืองปักเกีย จนเงินทองที่ติดตัวมาก็หมดลง

ต้องแอบซุ่มซ่อนอยู่ในป่า หากินไปวัน ๆ หนึ่ง โดยไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *