ซือจิน

ซ้องกั๋ง ตอน ซือจิน เจ้าหนุ่มด้อยปัญญา (1)

ซือจิน
ซือจิน

ซ้องกั๋ง ตอน ซือจิน เจ้าหนุ่มด้อยปัญญา (1) ซือจิน ซึ่งเป็นพี่น้องคนหนึ่งในจำนวนร้อยแปดนาย ที่อยู่ในกลุ่มโจรเขาเนียซัวเปาะนั้น บ้านเดิมอยู่ใกล้กับเขาเซียวฮัวซัว ตำบลซือเกชึง เมืองฮัวอิมกุ้ย เป็นบุตรนายอำเภอชื่อ ซือไทก๋ง ชอบฝึกหัดเพลงอาวุธมาตั้งแต่เล็ก จนอายุได้สิบแปดปี มารดาห้ามก็ไม่ฟังจนตรอมใจตายไป บิดาจึงต้องปล่อยตามใจชอบ

อยู่มามีชายคนหนึ่งพามารดามาจากเมืองตังเกียซึ่งเป็นเมืองหลวง ขออาศัยพักอยู่กับซือไทก๋งเพียงคืนเดียว ผู้เฒ่าก็ยินดีต้อนรับ บังเอิญมารดาชายผู้นั้นป่วยนอนครางอยู่ ซือไทก๋งจึงขอให้พักอยู่ก่อน จนกว่าจะรักษามารดาให้หายโรคแล้ว จึงค่อยเดินทางต่อไป

วันหนึ่งซือจินฝึกซ้อมรำเพลงอาวุธอยู่ ชายผู้มาอาศัยดูแลให้อาหารม้าเสร็จก็มายืนดูแล้วติว่า เพลงอาวุธที่ฝึกหัดนั้นก็นับว่าดีอยู่แต่ยังไม่อาจสู้คนที่มีฝีมือเข้มแข็ง ได้ ถ้าได้รับการสั่งสอนแนะนำให้อีกก็คงจะดีกว่านี้

ซือจินก็โกรธพูดว่า

“……ที่ท่านนี้มาติเตียนเรา ตัวท่านจะมีฝีมือดีอย่างไร จงมาลองเพลงอาวุธกันดูเล่นสักหน่อย…..”

แล้วก็เอากระบองฟาดชายผู้นั้น พอดีบิดาออกมาเห็นจึงร้องห้ามว่าอย่าทำเช่นนั้น ซือจินก็ว่าชายผู้นี้มาติเตียนดูถูก จึงอยากจะทดลองฝีมือดูบ้าง

ซือไทก๋งถามผู้อาศัยว่าเจ้ารู้เพลงอาวุธดีอยู่หรือ ชายผู้นั้นถ่อมตัวว่า พอจะรู้อยู่บ้าง ผู้เฒ่าจึงบอกให้ซือจินรับไว้เป็นครู แต่ซือจินขอทดลองฝีมือก่อน ชายผู้นั้นเกรงใจว่าเป็นผู้มาอาศัยอยู่ไม่อยากจะแสดง ซือจินก็เหวี่ยงอาวุธเข้าตี แต่ยังไม่ทันไรชายผู้นั้นก็จับกระบองกระชากหลุดออกจากมือ ตัวซือจินก็เซไปจะล้มลง แต่เขาก็รีบเข้าประคองไว้ บิดาเห็นดังนั้นก็ชอบใจ บอกให้ซือจิน คำนับยอมรับไว้เป็นครู แล้วไต่ถามเรื่องราวที่ต้องเดินทางมาถึงเมืองนี้

ชายผู้นั้นเล่าว่า ตัวเขาชื่อ เฮงจิน เดิมรับราชการเป็นครูทหารคุมพลแปดสิบหมื่นอยู่ที่เมืองตังเกีย ขณะนั้น พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ ทรงแต่งตั้งให้ กอกิว เพื่อนร่วมวงตะกร้อสมัยที่ยังเป็น ตวนอ๋อง ก่อนจะขึ้นครองราชย์ เป็นที่เตียนสวยฮูไทอวย ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร

เมื่อได้รับแต่งตั้งแล้ว กอไทอวย ก็เรียกประชุมนายทหารในบังคับบัญชา ให้มาคำนับตามประเพณี ปรากฎว่าเฮงจินป่วยไม่ได้ไปตามคำสั่ง จึงให้ทหารไปตามตัวมาให้ได้ เฮงจินอุตส่าห์เดินมาถึงที่ประชุมนายทหารในบ้านกอไทอวย คุกเข่าคำนับแล้วก็ยืนรอฟังคำสั่งอยู่

กอไทอวยถามว่าเป็นบุตรผู้ใด เฮงจินบอกว่าเป็นบุตรของ เฮงเซง บิดาก็เป็นครูทหารแต่เดี๋ยวนี้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว จึงได้รับตำแหน่งแทนบิดา

กอไทอวยก็จำได้ว่า เมื่อนานมาแล้วเคยลองฝีมือกับบิดาเฮงจิน แล้วสู้ไม่ได้ถูกตีเอาเจ็บป่วย จึงถือโอกาสแก้แค้น หาว่าเฮงจินแกล้งป่วย ให้เอาไปเฆี่ยนเสีย

พวกนายทหารที่เคยเป็นศิษย์ของเฮงจินก็ช่วยกันขอโทษว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านเข้ารับตำแหน่ง อย่าเพิ่งเฆี่ยนตีครูทหารเลยจะเสียฤกษ์ไป กอไทอวยจึงให้รอไว้ก่อน วันหลังจะชำระโทษใหม่

เฮงจินกลับมาบ้าน เล่าความให้มารดาฟังว่า กอไทอวยคนใหม่คงจะมีใจอาฆาตบิดาอยู่จึงแกล้งสั่งลงโทษ มารดาก็ว่าขืนอยู่ต่อไปก็คงจะมีภัยมาถึงตัวอีก จึงคิดจะหนีไปอาศัย เกงเลียดเซียงก๋ง ลูกศิษย์ที่อยู่เมืองเอียนอันฮู้ แล้วก็เก็บข้าวของในคืนวันนั้น เตรียมตัวไปกับมารดาสองคน เพราะยังไม่มีภรรยา

ทางกอไทอวยก็เดาใจเฮงจินว่าคงจะคิดหนีเป็นแน่ จึงให้ทหารสองนายมาคอยระวังสอดแนมอยู่ใกล้ประตูบ้านเฮงจิน มารดาของเฮงจินเห็นเข้า จึงบอกให้บุตรชายคิดแก้ไข

เฮงจิน ก็เรียกทหารคนหนึ่งเข้ามา ขอร้องให้ไปบอกเฮียกงที่ศาลเจ้าตังงักเปียว ทางประตูเมืองด้านตะวันออก ว่าเดิมเมื่อป่วยได้บนไว้บัดนี้ค่อยคลายหายป่วยแล้ว จะไปแก้บนวันพรุ่งนี้เวลาเช้า แล้วให้คอยอยู่ที่ศาลนั้นจะได้พบกัน

ทหารนั้นก็เป็นศิษย์ของเฮงจินเหมือนกัน ด้วยความเกรงใจครู จึงคำนับลาไปคอยอยู่ที่ศาลเจ้า

เฮงจินเรียกทหารอีกคนหนึ่งมาขอร้องว่า พรุ่งนี้เช้าจะไปแก้บนที่ศาลเจ้าตังงักเปียว ช่วยไปซื้อหัวหมูและเป็ดไก่ให้ด้วย แล้วไปคอยอยู่ที่ศาลนั้น ตอนเช้าจะได้เจอกัน ทหารก็รับเงินไปจัดการตามคำขอร้อง

พอตกดึกสามยามเศษ เฮงจินจึงจัดแจงเก็บทรัพย์สินสิ่งของเงินทองผูกคอม้า แล้วให้มารดาขึ้นนั่งบนหลังม้า ตนเองเดินจูงม้าพามารดาหนีออกจากบ้าน ไปทางประตูเมืองด้านทิศตะวันตกโดยไม่ชักช้า เดินทางมาได้สักเดือนเศษก็ถึงเมืองฮัวอิมกุ้ย จึงได้มาขออาศัยซือไทก๋ง อยู่นี้

เฮงจินกล่าวเสริมว่า

“…..ได้พามารดาหนีมาพบท่าน พระคุณเป็นที่สุด ข้าพเจ้าจะฝึกหัดให้บุตรท่าน ทดแทนคุณซึ่งมีแก่ข้าพเจ้ามาก…..”

ผู้เฒ่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงฉลอง แล้วเฮงจินก็อยู่ฝึกหัดเพลงอาวุธให้ซือจิน ทุกวันตลอดเวลาหกเดือน จนซือจินมีความชำนิชำนาญในเพลงอาวุธต่าง ๆ แล้ว จึงขอลาเดินทางต่อไป ทั้งซือจินและบิดาก็ขอร้องให้อยู่ก่อน

แต่เฮงจินว่าขืนอยู่นานไปถ้ารู้ถึง กอไทอวย ก็จะพาให้ลำบากไปด้วยกัน ซือไทก๋งจึงมอบเงินให้ร้อยตำลึง เฮงจินจะไม่รับผู้เฒ่าก็ยัดเยียดให้ เพื่อเอาไว้ใช้ในระหว่างเดินทาง จึงจำใจต้องรับไว้แล้วคำนับลาพามารดาเดินทาง ไปยังเมืองเอียนอันฮู้ ตามความตั้งใจเดิม

ซือจินก็ซักซ้อมเพลงอาวุธต่าง ๆ อยู่ที่บ้าน ต่อมาอีกเป็นเวลานาน จนซือไทก๋งป่วยลงและถึงแก่ความตาย ซือจินจัดการศพบิดาตามประเพณี และตามฐานะของนายอำเภอแล้ว ก็ชักชวนพวกพ้องมาซ้อมฝีมืออยู่เป็นนิจ

วันหนึ่งในฤดูร้อนซือจินนั่งพักผ่อนตากลมเย็นอยู่ที่ชายป่าหน้าบ้านเห็นคน แอบต้นไม้อยู่ไหว ๆ จึงเดินไปดูปรากฎว่าเป็น ลีกิด คนที่เคยเข้าป่าล่าสัตว์เอาเนื้อมาขายเป็นประจำ ก็ถามว่าทำไมจึงหายหน้าไป ไม่เอาเนื้อสัตว์มาขายอย่างเคย

ลีกิดบอกว่าบนเขาเซียวฮัวซัวใกล้บ้านนั้น มีนายโจรอาศัยอยู่สามคน มีไพร่พลหลายร้อย คอยดักปล้นราษฎรอยู่ไม่ขาด จนเจ้าเมืองฮัวอิมกุ้ย ให้สินบนนำจับถึงสามพันตำลึง จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ภูเขาอีก ซือจิน ก็สั่งว่าถ้าไปล่าสัตว์ถิ่นอื่นได้ ให้เอาเนื้อมาขายอย่างเคย ลีกิดก็ลากลับไปบ้านของตน

วันนั้นซือจินนัดเพื่อนพ้องในตำบลซือเกชึงมากินโต๊ะหลายคน จึงได้เล่าเรื่องโจรบนภูเขาให้เพื่อนฟังแล้วนัดว่า ถ้ามีพวกโจรยกมาโจมตีหมู่บ้านนี้ ให้ตีม้าล่อเป็นสัญญาณขึ้น แล้วให้พวกเราที่มีฝีมือเพลงอาวุธ ถือศัสตราวุธมาช่วยกันจับโจรให้ได้ เพื่อนฝูงก็ยินดีทำตามและยกให้ซือจินเป็นหัวหน้า

เมื่อกินเลี้ยงเสร็จแล้วกลับไปบ้านของตน ต่างก็เตรียมอาวุธประจำตัวไว้พรักพร้อม ถ้าได้ยินสัญญาณเมื่อใดจะได้ช่วยกันตามที่ตกลงไว้

ฝ่ายพวกโจรที่อยู่บนเขาเซียวฮัวซัวทั้งสามคนนั้น หัวหน้าชื่อ จูบู๊ เป็นชาวเมืองเตงเอียงกุ้ย ถือกระบี่คู่มือสองเล่ม ฝีมือก็ไม่เข้มแข็งเพลงอาวุธก็ไม่ชำนาญ แต่มีสติปัญญาดี

คนที่สองชื่อ ตันตัด เป็นชาวเมืองเเงียบเสียกุ้ย ถือทวนเป็นอาวุธประจำตัว ฝีมือก็ไม่ได้เรื่องสติปัญญาก็ใช้ไม่ได้ คนที่

สามชื่อ เอียชุน เป็นชาวเมืองโปจิวถือง้าวเป็นอาวุธ ต่างก็ปรึกษาหารือกันถึงเรื่องที่ เจ้าเมืองฮัวอิมกุ้ยตั้งสินบนค่าตัวจับไว้ สมควรจะยกกำลังไปตีปล้นเมืองฮัวอิมกุ้ย หาเงินและเสบียงอาหารมาสะสมไว้

เอียชุนแย้งว่า ถ้าจะไปต้องผ่านตำบลซือเกชึง ซึ่งซือจินผู้มีฝีมือกล้าแข็งและสติปัญญาดีคงจะขัดขวาง ไม่ให้ผ่านไปได้สะดวก ตันตัดว่าซือจินคนเดียวก็ยังกลัวเกรง ถ้าทหารหลวงยกมาจะต่อสู้ได้อย่างไร

จูบู๊ก็ว่าเคยได้ยินคนเล่าลือกันว่า ซือจินนี้มีฝีมือดีไม่ควรประมาท

ตันตัดอวดว่า

“…..ท่านทั้งสองมากลัวซือจินนักหนา มิใช่ซือจินสามหน้าหกมือถืออาวุธมาก เราจะได้กลัว นี่ก็เป็นคนเหมือนกับท่านทั้งสองอย่ากลัวไปเลย เราจะไปตีปล้นตำบลซือเกชึงก่อน ทีหลังจึงค่อยยกไปตีเมืองฮัวอิมกุ้ย…..”

ว่าแล้วก็ยกไพร่พลโจรออกจากเขาลงไปยังหมู่บ้านตามคำพูด

ฝ่ายซือจินกับราษฎรชาวบ้าน ได้เตรียมตัวพรักพร้อมแล้ว พอมีผู้มาแจ้งว่า นายโจรบนเขาคุมพลจะเข้าปล้นตำบลนี้ ซือจินก็สั่งให้ตีม้าล่อเป็นสัญญาณขึ้น เพื่อนทั้งหลายก็คว้าอาวุธคู่มือ มารวมพลที่บ้านของซือจิน เมื่อพร้อมเพรียงกันดีแล้ว ซือจินก็ขึ้นม้านำพลมาดักตรงเส้นทางนอกหมู่บ้าน เจอกับตันตัดนายโจรที่สอง คุมลิ่วล้อมาประมาณร้อยเศษ

ซือจินตวาดว่าพวกนี้มีแต่เที่ยวปล้นราษฎร ให้ได้รับความเดือดร้อนมีโทษเป็นอันมาก ตันตัดเห็นท่าทางซือจินไม่เกรงกลัวก็เลี่ยงไปว่า บนเขาที่อยู่นั้นขัดสนด้วยเสบียงอาหาร ก็หมายว่าจะไปยืมที่เมืองฮัวอิมกุ้ย จึงขอเดินทางผ่านไปเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำอันตราย แก่ราษฎรตำบลนี้ ถ้าได้เสบียงกลับมาก็จะทดแทนคุณให้ตามสมควร

ซือจินก็ว่า

“…เจ้าอย่าพูดเลอะเทอะไปเลย เดิมบิดาเราก็เป็นนายอำเภอรับราชการ ได้เบี้ยหวัดเงินเดือนอยู่เสมอมิได้ขาด ต้องมีความกตัญญูซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน เจ้าจะมาล่อลวงเราไปกระทำข่มเหงราษฎรไม่ได้ เราคิดว่าจะไปจับตัวพวกเจ้ามาทำโทษ บัดนี้เจ้าก็มาถึงแล้วเราจะต้องจับตัวไว้…..”

ตันตัดเถียงว่ามิได้มาเบียดเบียนทำร้ายใคร เพียงแต่ขอผ่านทางเท่านั้น ซือจินว่าตัวเราพอจะยอมได้แต่เพื่อนเราจะไม่ยอม ตันตัดถามว่าผู้ใดไม่ยอม ซือจินว่าง้าวของเราที่ถืออยู่นี่แหละ ตันตัดโกรธก็เข้ารบกับซือจิน แต่ไปได้ไม่กี่เพลงซือจินก็เอาง้าวปัดทวนตันตัดหลุดจากมือ แล้วสอึกเข้าจับตัวตันตัดให้ชาวบ้านมัดไว้ พวกลิ่วล้อของโจรก็แตกตื่นหนีไปหมด

ซือจินจึงเอาตัวตันตัดมาขังไว้ที่บ้าน รอเวลาที่จะนำไปส่งเจ้าเมืองต่อไป พวกชาวบ้านก็พากันสรรเสริญซือจินว่ามีฝีมือเข้มแข็ง สมควรเป็นนายอำเภอแทนบิดาได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *